💓สวัสดีค่ะ💓 ♥ Aey Surgery มาแล้วค่ะ ♥ ศัลยกรรมปากแบบไร้รอยแผลเป็น รอยยิ้มนางฟ้าที่มาพร้อมความไร้กังวล การที่มีปากหนา ปากทรงไม่สวย มุมปากตก ปากคว่ำ ทำให้เหมือนคนหน้าบึ้งตลอดเวลา การที่ริมฝีปากไม่สวย บางครั้งจะกลายเป็นคนที่ดูบึ้งตึง และไม่พอใจอยู่เสมอ ทำให้บุคลิคดูไม่น่ารัก ไม่น่าเข้าใกล้ แต่อย่างไรก็ตาม การทำศัลยกรรมปากมีเทคนิคมากมาย เพราะรูปปากของแต่ละคนแตกต่างกันมาก ปัญหาจึงไม่เหมือนกัน ดังนั้นศัลยกรรมนี้จึงไม่ใช่ศัลยกรรมที่ง่ายเลยค่ะ เพราะหลายๆท่าน ทำมาแล้วกลับมีปัญหามากมาย และปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ รอยแผลเป็นที่มุมปาก และการตัดปากที่บางเกินไปค่ะ ถ้าศัลยแพทย์ไม่มีฝีมือเพียงพอ จะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี และแก้ไขได้ยากค่ะ
"การผ่าตัดศัลยกรรมยกมุมปาก และศัลยกรรมปากกระจับ จึงเป็นศัลยกรรมที่ทำแล้วไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นคนไข้ต้องเลือกศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง ที่เชี่ยวชาญเรื่องการศัลยกรรมปากค่ะ"
👉 มาค่ะ มาแก้ปัญหาใหญ่นี้ที่รพ.นานะกันค่ะ👈
ศัลยกรรมปากคืออะไร
ศัลยกรรมปากคือ การผ่าตัดแก้ไขหรือตกแต่งรูปปากให้เหมาะสมกับใบหน้าหรือความต้องการของผู้เข้ารับการศัลยกรรม โดยปัญหาเกี่ยวกับรูปปากส่วนใหญ่ที่คนเข้ารับการศัลยกรรม เช่น ปากคว่ำ ปากบาง ปากหนา ปากห้อย ปากไม่ได้รูป ซึ่งมีทั้งการตกแต่งริมฝีปากให้บางลง การตกแต่งริมฝีปากให้เป็นรูปกระจับ ยกริมฝีปากหรือการยกมุมปาก ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ต้องทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้รูปปากที่เหมาะสมกับใบหน้า
รูปปากแบบใดที่ควรทำศัลยกรรมริมฝีปาก
1. ปากใหญ่หนา
2. รูปทรงปากไม่สวยงาม
3. ปากดูเป็นทรงคว่ำ แลดูหน้าบึ้ง มุมปากตก
4. ริมฝีปากบางเกินไป
ปากในรูปแบบต่างๆที่เหมาะสมในการทำศัลยกรรมปาก
การทำศัลยกรรมริมฝีปากมีอันตรายอย่างไร
โดยทั่วไปการศัลยกรรมปากโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถือว่ามีความปลอดภัยสูง แต่หากไม่ได้ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เพราะรูปปากแต่ละคนไม่สามารถผ่าตัดได้ทุกเทคนิค เช่น ผู้ที่ปากบางไม่สามารถทำปากกระจับด้วยเทคนิคทั่วไปได้ ซึ่งหากไม่ได้ผ่าตัดโดยแพทย์ มักประสบปัญหาปากปิดไม่สนิท ยิ้มแล้วเห็นหงือก หรือบางรายที่ร้ายแรงรูปปากอาจจะเบี้ยวหรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพราะเครื่องมือไม่สะอาดได้ หรือการยกมุมปากอาจจะทำให้เกิดแผลเป็นเด่นชัดและรักษาไม่หาย การฉีด filler ปากที่ฉีดไปไม่ถูกตำแหน่ง ไม่สะอาด หรือสารแปลกปลอมก็อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย ดังนั้นการเลือกศัลยแพทย์พลาสติกเฉพาะทางจึงสำคัญที่สุดในการทำศัลยกรรมปาก ดังนั้นคนไข้ควรปรึกษาเรื่องการศัลยกรรมปากจากศัลยแพทย์ในโรงพยาบาลหรือคลินิกที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้วิเคราะห์และประเมินก่อนว่าการผ่าตัดรูปแบบใดสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่สุด
การเตรียมตัวก่อนทำศัลยกรรมปาก
1. คนไข้จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อประเมินรูปแบบปากที่คนไข้ต้องการ และความเป็นไปได้ในการผ่าตัดซึ่งขึ้นกับรูปปากเก่าของคนไข้ แพทย์จะสอบถามอาการและวางแผนการผ่าตัด
2. ห้ามรับประทานยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด เช่น แอสไพริน รวมทั้งวิตามิน อาหารเสริมต่างๆ เช่น วิตามิน A วิตามิน E น้ำมันตับปลา เพราะอาจมีผลต่อการบวมช้ำของแผลได้
3. ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และห้ามสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
4. หากมีโรคประจำตัวหรือมียาที่รับประทานเป็นประจำต้องแจ้งแพทย์โดยละเอียด
การทำศัลยกรรมปากแบ่งเป็น 4 ชนิด
1. ศัลยกรรมปากให้บาง หรือทำปากบาง
เป็นการผ่าตัดเพื่อลดขนาดริมฝีปากบนหรือล่างให้บางลง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาปากห้อยหรือปากหนา ศัลยแพทย์จะใช้วิธีตัดริมฝีปากออกและเย็บด้วยไหมละลาย โดยลักษณะแผลจะอยู่ด้านในริมฝีปาก ศัลยกรรมปากแบบยกริมฝีปากบน เป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาริมฝีปากบนตกลงมาปิดฟันบนจนหมด ทำให้เวลาพูดหรือยิ้มไม่เห็นฟันบน ซึ่งบางคนอาจไม่พึงพอใจ โดยการศัลยกรรมปากแบบยกริมฝีปากนี้แพทย์จะตัดหนังส่วนเกินบริเวณใต้ฐานจมูกประมาณ 3-4 มิลลิเมตร โดยตัดโค้งไปตามรูปของปีกจมูก หลังจากนั้นจะเย็บดึงผิวหนังและกล้ามเนื้อใต้รูจมูกขึ้นไป ทำให้รูปปากสมส่วนกับใบหน้ายิ่งขึ้น
2. การผ่าตัดแก้ไขรูปทรงและขนาดของริมฝีปาก
ศัลยกรรมปากกระจับ เป็นการผ่าตัดเพื่อปรับแต่งริมฝีปากให้ได้รูป มีหยักนูนสวย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยการผ่าตัดมี 2 รูปแบบหลักๆ คือ การตัดริมฝีปากด้านข้างออกเพื่อให้บริเวณตรงกลางนูนขึ้น แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดคือ สำหรับผู้ที่ปากบางอยู่แล้วอาจทำให้ปิดปากไม่สนิทได้ จึงมีการพัฒนาการศัลยกรรมปากอีกรูปแบบหนึ่งคือการตัดริมฝีปากออกเพียงเล็กน้อยและใช้วิธีการเย็บบริเวณตรงกลางให้นูนขึ้นเป็นรูปทรง ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดเรื่องปากบางลงไปได้ และเป็นหนึ่งในการศัลยกรรมปากที่กำลังได้รับความนิยม
3. การผ่าตัดยกมุมปาก
ศัลยกรรมปากแบบยกมุมปาก เป็นการผ่าตัดเพื่อยกมุมปากให้สูงขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามุมปากตก ปากคว่ำทำให้ใบหน้าดูเศร้าหมอง หรือแลดูบูดบึ้งตลอดเวลา โดยการผ่าตัดนี้ศัลยแพทย์จะมีเทคนิคหลายอย่างขึ้นกับรูปแบบปากของคนไข้ ไม่ว่าจะเย็บแผลด้านในหรือด้านนอก การทำให้ปากยกขึ้นและกว้างขึ้น หรือมุมยกขึ้นแต่ปากเล็กลง ถ้าได้ผ่าตัดกับศัลยแพทย์ตกแต่งผู้เชี่ยวชาญจะไม่ต้องกังวลว่าจะมีแผลเป็นเมื่อหายสนิทแล้วค่ะ
การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรมปากเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อให้แผลสะอาดและไม่มีการติดเชื้อช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการศัลยกรรมปาก ควรประคบเย็นบริเวณริมฝีปากเพื่อลดอาการบวมต่อเนื่องตลอด 5 วันแรกหลังการผ่าตัด คนไข้จะต้องรักษาความสะอาดในช่องปาก และบริเวณแผลเย็บอย่างเคร่งครัด โดยบ้วนน้ำยาฆ่าเชื้อที่แพทย์จ่ายให้หลังอาหารทุกมื้อเพื่อป้องกันแผลผ่าตัดติดเชื้อจากเศษอาหารที่ตกค้าง และใน 1 สัปดาห์แรก หลีกเลี่ยงการพูดคุยนานๆ ควรรอให้แผลแห้งและหายสนิทก่อน ก่อนครบ 1 เดือน คนไข้ควรรับประทานอาหารอ่อน รสไม่จัด ย่อยง่าย งดรับประทานของหมักดอง ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ ที่สำคัญที่สุด คือการรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดและมาพบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาตามเวลานัดอย่างสม่ำเสมอ
4. การฉีด filler หรือไขมัน เติมเต็มริมฝีปาก
การฉีดปาก หรือการฉีดฟิลเลอร์ปากคือการฉีดสารเติมเต็มหรือที่คุ้นเคยกันในชื่อฟิลเลอร์ เข้าไปบริเวณริมฝีปาก เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องและเสริมความอวบอิ่มให้รูปปาก ซึ่งสารฟิลเลอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันประกอบด้วยสารไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic acid) มีคุณสมบัติในการเพิ่มและปรับขนาดโครงสร้างใต้ชั้นผิวหนัง โดยสารนี้จะเข้าไปเติมเต็มเซลล์ผิวริมฝีปาก รวมทั้งลดร่องลึกและริ้วรอยบนริมฝีปาก ทำให้ปากดูอวบอิ่มขึ้น วิธีนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยม เนื่องจากไม่ต้องเปิดแผล จึงไม่มีรอบเย็บ (การศัลยกรรมปากมีบาดแผลแต่ขนาดเล็ก) โดยปกติแล้วฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปจะคงอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ จากนั้นจะสลายไปเองตามธรรมชาติ หากต้องการมีรูปปากทรงเดิมก็ต้องฉีดซ้ำ นอกจากสารฟิลเลอร์แล้วโรงพยาบาลและคลินิกบางแห่ง ยังอาจใช้วิธีการฉีดไขมันได้เช่นกันค่ะ
การเตรียมตัวก่อนฉีด Filler ปา
1. พบแพทย์และปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการฉีดฟิลเลอร์อย่างเหมาะสม
2. งดรับประทานยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด 14 วัน ก่อนการฉีดปาก เช่น แอสไพริน รวมทั้งวิตามิน อาหารเสริมต่างๆ เช่น วิตามิน A วิตามิน E หรือน้ำมันตับปลา เพราะอาจมีผลต่อการบวมช้ำของแผลได้
3. หากมีโรคประจำตัวหรือมียาที่รับประทานเป็นประจำต้องแจ้งแพทย์โดยละเอียด
4. หากมีประวัติแพ้ยาหรือสารอื่นๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
การปฎิบัตตัวหลังฉีด Filler ปาก
1. หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกทันทีหลังทำ
2. งดการใช้หลอดดูดน้ำ 2 อาทิตย์
3. งดทานอาหารร้อน 2 อาทิตย์
4. งดบดขยี้ริมฝีปากรุนแรง 2 อาทิตย์
5. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มร้อนและงดสูบบุหรี่ เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการบวมหรืออักเสบได้ง่าย
6. งดกิจกรรมหรือการออกกำลังกายหนักๆ จนกว่าปากจะหายบวม เพราะอาจทำให้ปากเสียรูปทรงได้
7. ไม่ควรดึงหรือลอกหนังบริเวณริมฝีปาก เพราะจะทำให้ผิวริมฝีปากถูกทำลาย กักเก็บความชุ่มชื้นได้น้อยลง
8. ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปาก
คนไข้ที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ปาก
1.ผู้ที่เป็นเริมบริเวณริมฝีปาก
2. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
3. ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง
4. ผู้ที่เป็นโรคเลือด หรือมีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
ข้อควรระวังในการฉีดปาก ฉีดฟิลเลอร์ปาก
ตามปกติสารฟิลเลอร์ที่ใช้สำหรับฉีดริมฝีปากที่ใช้กันในโรงพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน นับว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ แต่ปัญหาสำคัญที่พบหลังจากการฉีดฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ เช่น ปากเบี้ยว ปากบวม ติดเชื้อ อักเสบ หรือร้ายแรงกว่านั้นคือริมฝีปากเน่า มักเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือใช้สารแปลกปลอมอื่นๆ แทนฟิลเลอร์ ซึ่งพบในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ฉะนั้นทางที่ดีควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาลที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์อย่างละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก
💓 ฝากติดตามเรื่องราวและสาระดีๆในตอนต่อไปด้วยนะคะ 💓
♥ Aey Surgery ขอบคุณค่ะ ♥ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และปรึกษาผ่านทางไลน์ @Aeysurgery(มี@ด้วยค่ะ) ได้เลยนะคะ
Add LINE คลิ๊กที่ปุ่ม >>
YOUTUBE คลิ๊กที่ปุ่ม >>
LINE: @Aeysugery IG: @aey_surgery FREE 📣พาบิน FREE 📣ตรวจร่างกาย และ ยา FREE 📣คนดูแล FREE 📣อาหาร FREE 📣พาเที่ยว FREE 📣บริการจองตั๋วเครื่องบิน FREE 📣คืน Tax Refund FREE 📣รถรับ-ส่ง FREE 📣ที่พัก FREE 📣ทรีทเม้นต์ลดบวมหลังผ่าตัด
AEY SURGERY Location : Gangnam-gu, Seoul, South Korea Line ID : @Aeysurgery Facebook : https://www.facebook.com/AeyPatrick/ IG : https://www.instagram.com/aey_surgery/ Blog : aeysurgery.blogspot.com Phone number: +66 952826615 (Thai hotline) e-mail : aeysurgery@gmail.com Youtube Channel : https://www.youtube.com/channel/UCLexD8mSRjZ2Vj4DmvNFwHQ
Comments